จอร์จ คลาร์ก นักร้องนำแห่งวง Deafheaven เคยให้สัมภาษณ์กับทางเว็บไซต์ phoenixnewtimes เอาไว้ในปี 2017 ว่า ‘แบล็กเมทัล’ เป็นแนวดนตรีที่แทบจะไม่เป็นมิตรต่อดนตรีทุกตระกูลเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งแนวเฮฟวีเมทัลด้วยกันเอง เหตุเพราะมันคือด้านที่มืดมิดที่สุดของดนตรีเมทัลทั้งมวล ด้วยริฟกีตาร์ที่ดิบหยาบรุนแรงจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ การร้องแบบสำรอกก็น่าสะพรึงกลัวจนแทบจะได้กลิ่นซากศพเล็ดลอดออกมาจากลมหายใจของนักร้อง
หลักการในการทำเพลงแนวแบล็กเมทัลมีความสุดโต่งซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือการมองมนุษย์ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชั่วช้าสามานย์ ต่อต้านศาสนาคริสต์ ซึ่งหนักถึงขั้นที่ครั้งหนึ่งอดีตแฟนเพลงของวง Mayhem ลงมือเผาโบสถ์ในประเทศนอร์เวย์ไปเป็นจำนวนมาก หรือการบูชาซาตานก็เป็นหนึ่งในลัทธิพิธีกรรม (Cult) ที่แฝงอยู่ในบทเพลงตระกูลแบล็กเมทัลมาอย่างช้านาน
มีวงแบล็กเมทัลสายทรูหลายวงที่เริ่มบัญญัติดนตรีแนวนี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Venom, Bathory, Hellhammer, Celtic Frost มาจนถึงนอร์เวย์ ซึ่งเป็นประเทศที่เสริมสร้างความรุนแรงและความโหดให้กับแบล็กเมทัลแบบทบเท่าทวีคูณขึ้นไปอีก จากงานเพลงของวงอย่าง Immortal, Emperor, Darkthrone
ดนตรีแบล็กเมทัลทำให้เกิดวงที่เดินหน้าไปจนสุดทางจริงๆ อย่าง Burzum และ Mayhem ที่สมาชิกของทั้ง 2 วง มีความบาดหมางกันจนก่อเหตุฆาตกรรมกัน ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่า แบล็กเมทัลเป็นมากกว่าแนวดนตรี แต่เป็นลัทธิพิธีกรรมที่มีการนำความเชื่อในด้านมืดของมนุษย์และศาสตร์มืดของสิ่งลี้ลับเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ที่สำคัญก็คือแบล็กเมทัลไม่ใช่ดนตรีที่ฟังแล้วผู้ฟังจะรู้สึกพิสมัยไปกับเมโลดีที่งดงามราวร่วงหล่นลงมาจากสวรรค์ ตรงกันข้าม มันเหมือนกับเสียงคำรามของปิศาจจากขุมนรกที่ส่งตรงมากัดกินจิตวิญญาณของมนุษย์มากกว่า
Demo อีพีแจ้งเกิดของวง Deafheaven
Libertine Dissolves เพลงแรกของวง Deafheaven อยู่ในเดโมที่ไม่มีชื่ออัลบั้ม เพลงนี้ปล่อยออกมาในปี 2010 หากจะหาคำมาจำกัดความแนวดนตรีแล้วล่ะก็ ซาวนด์หลักๆ ของเพลง Libertine Dissolves เป็นแบล็กเมทัลอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าจะเป็นความรวดเร็วในการกระหน่ำกลองแบบ ‘บลาสต์บีต’ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรี ‘แทรชเมทัล’ ยุคแรก (เช่นวง Testament หรือ Exodus) เช่นเดียวกับซาวนด์กีตาร์ที่มีโครงสร้างคอร์ดที่สั่นคลอนโสตประสาทอย่างมาก รากฐานของมันมาจากดนตรีแนวนี้
หากแต่การใส่เอฟเฟกต์ Reverb ที่เสียงก้องกังวานอันอ่อนหวานของมันช่วยลดทอนความหนักหน่วงของเอฟเฟกต์ประเภท Fuzz และ Distortion ที่ลดทอนความหยาบกร้านของซาวนด์ได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลา (Timing) และการปรับจูนซาวนด์ให้มีความไพเราะอย่างพอดีที่สามารถกลมกลืนไปกับดนตรีแบล็กเมทัลให้ได้ เพลงนี้ของ Deafheaven ทำให้ผู้เขียนรู้จักกับดนตรีแบล็กเมทัลที่มีกลิ่นอายของดนตรีโพสต์ร็อกเป็นครั้งแรกด้วย
Demo เป็นอีพีที่มีเพลงรวมทั้งสิ้น 4 เพลงเท่านั้น Bedrooms เป็นเพลงอะคูสติกที่มีกลิ่นอายของดนตรีคลาสสิก ซึ่งจะว่าไปแล้วเป็นต้นธารสายสำคัญของดนตรีเฮฟวีเมทัลในยุคแรกๆ ไม่ว่าจะเป็นดูม หรือแทรชเมทัลก็ตาม
Deadalus เป็นเพลงที่เริ่มต้นด้วยดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกยุค 90’s ก่อนจะเข้าสู่แบล็กเมทัลอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็มีการผ่อนจังหวะให้ช้าลงจนกลายเป็นโพสต์เมทัล ที่มีสำเนียงของดนตรีกรันจ์ร็อกด้วย
ส่วน Exit Denied เป็นเพลงอะคูสติกป๊อปที่ได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีคลาสสิกจากยุคบาโรกและถือเป็นเพลงที่มีสัดส่วนของดนตรีแบล็กเมทัล, โพสต์เมทัล, โพสต์ร็อก และชูเกซ อีกเล็กน้อย
ด้วยงบอันจำกัด Demo จึงเป็นอีพีที่บันทึกเสียงลงเทปคาสเซต รวมถึงแพลตฟอร์มดิจิทัลเฉพาะกลุ่มผ่านทางบล็อกดนตรีเมทัลทางเลือกหลายบล็อก เนื้อเพลงเขียนโดย จอ์รจ คลาร์ก และ เคอร์รี แม็คคอย ทั้งคู่ดูแลเรื่องการบันทึกเสียงร่วมกัน จังหวะกลองสุดระห่ำเป็นผลงานการกระหน่ำของ จอห์น ไคลน์ มือกลองยุคแรกของวง หลังจากนั้นทางวงก็หาสมาชิกมาเพิ่มเพื่อที่จะทัวร์คอนเสิร์ตสนับสนุนอีพีชุดนี้
ด้วยความพิเศษของซาวนด์ที่ทั้งหนักหน่วง รุนแรง และอ่อนไหวล่องลอย ทำให้มีค่ายเพลงหลายค่ายอยากได้ Deafheven เข้ามาเป็นศิลปินในสังกัด ซึ่งก็รวมถึง Deathwish Inc. ซึ่งเป็นค่ายเพลงที่ เจค็อบ แบนนอน แห่งวงฮาร์ดคอพังก์ระดับแถวหน้าอย่าง Converge เป็นผู้ร่วมก่อตั้ง และในที่สุด Deathwish ก็เป็นค่ายที่ปล่อยซิงเกิลจากอีพีชุดนี้ในรูปแบบแผ่นเสียงขนาด 7 นิ้ว ในเดือนมกราคม ปี 2011 โดยมี Libertine Dissolves และ Daedalus เป็นเพลงเอก ก่อนที่ Road to Judah อัลบั้มเต็มชุดแรกของวงจะถูกปล่อยออกมาในเดือนเมษายน ปี 2011
โฉมงามกับเจ้าชายอสูร สัดส่วนที่ลงตัวระหว่าง ‘แบล็กเมทัล’ และ ‘ชูเกซ’
หลังจากที่ได้ทดลองนำสำเนียงดนตรีชูเกซมาใส่ไว้พอเป็นพิธีในอีพี Demo วง Deafheaven ก็ลงมือนำเอาดนตรีแบล็กเมทัลและชูเกซ มาหล่อหลอมเข้าไว้ด้วยกันในอัลบั้ม Road to Judah โดย จอร์จ คลาร์ก เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า
“มันเจ๋งดีนะครับ พวกเราโชคดีมากที่ทดลองทำดนตรีที่มีความแตกต่างกันอย่างมากอย่าง แบล็กเมทัล และชูเกซ ไปจนถึงเอาดนตรีร็อกทดลองแนวอื่นๆ มาใช้กับงานเพลงของเราเอง การได้โยนและเล่นเหรียญทั้ง 2 ด้านอย่างเพลินมือ เป็นทั้งความท้าทายและความสนุกสนานที่เปิดโอกาสให้เราได้สร้างพื้นที่ใหม่ๆ ของซาวนด์ดนตรีที่ไร้เขตแดน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะหนักหรือว่าเบา แต่เรานำสองอย่างที่ไม่น่าเข้ากันได้ดีมาค่อยๆ นวดเพื่อผสมให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน”
ในส่วนของการสำรอกเสียง จอร์จ คลาร์ก บอกว่าเขาไม่มีเคล็ดลับอะไรเป็นพิเศษ “มันเป็นเรื่องของเทคนิคล้วนๆ เลยครับ ผมต้องฝึกการร้องที่มีความเฉพาะตัวสูงแบบนี้อย่างหนัก แต่พอรู้เทคนิคจริงๆ และอยู่ตัวแล้วก็ไม่จำเป็นต้องดูแลเสียงอะไรเลย ผมไม่เคยวอร์มอัปเสียง หรือว่าทานน้ำผึ้งอะไรแบบนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการดึงสมาธิตัวเองให้เข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเนื้อหาของเพลงให้ได้”
ดิ่งลึกสู่หลุมดำแห่งความทุกข์โศก สู่แสงสว่างที่เจิดจ้าจากฟากฟ้า
ในขณะที่แบล็กเมทัลเป็นแนวเพลงที่มีเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับด้านมืดภายในจิตใจมนุษย์ ปฏิเสธศาสนา และปล่อยให้ตัวเองอยู่ใต้เงาของปิศาจ แต่เนื้อหาภายใต้บทเพลงของวง Deafheaven ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการบูชาซาตาน หรือกล่าวถึงความชั่วช้าสามานย์ของมนุษย์เลย
บทเพลงส่วนใหญ่ของวงกล่าวถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์จากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง สังคมที่เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ที่ทำให้มนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ ความรักที่ดิ่งลึกอยู่ในหลุมดำที่ยากจะไขว่คว้ามาครอบครอง สถาบันครอบครัวที่แตกสลาย ความสูญเสีย ความเหลื่อมล้ำในสังคมและอื่นๆ บริบทที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเนื้อเพลงที่ต้องตีความด้วยมุมมองส่วนตัวนี้ ทำให้วงยืนยันอย่างหนักแน่นว่า Deafheaven ไม่ได้เป็นวงในแนวแบล็กเมทัล
Dream House เป็นเพลงที่แฝงความนัยถึงเรื่องความรักที่กำลังแหลกสลาย เป็นเหมือนหัวใจที่เต้นช้าลงเรื่อยๆ แต่ก่อนที่มันจะหยุดเต้นและตายจากไป เมื่อมองอีกมุมหนึ่งความรักที่เจ็บปวดนั้นก็ยังสวยงามไม่ต่างไปจากความฝัน และมนุษย์ก็อยากที่จะหลับฝันเช่นนั้นตลอดไป กล่าวโดยสรุปก็คือความรักเป็นทั้งสุขนาฏกรรมและโศกนาฏกรรมในเวลาเดียวกัน
Sunbather เป็นเพลงที่มีความซับซ้อนสูง ทั้งด้านสภาวะทางอารมณ์ส่วนตัวของตัว จอร์จ คลาร์ก ซึ่งเป็นผู้แต่งเพลงนี้ รวมถึงบริบทของเนื้อเพลงที่สะท้อนให้เห็นถึงความฝันแบบอเมริกันของชนชั้นกลางที่น่าเศร้า เพลงนี้เปรียบเทียบให้เห็นว่าไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่ทำตามๆ กันไปโดยไร้ซึ่งเจตจำนงเสรี ก็ไม่ต่างอะไรไปกับการใช้ชีวิตที่ไร้ซึ่งลมหายใจ
จอร์จบอกผ่านเนื้อเพลงว่าชนชั้นกลางได้ตายไปแล้ว และบ้านของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากหลุมศพ สำหรับเพลงนี้ ถ้าหากมองอีกนัยหนึ่งก็สามารถเชื่อมโยงได้ถึงความทรงจำต่อความรักที่สูญหายไปแล้วในอดีตกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรักในครอบครัว เชิงชู้สาว หรือว่าจะเป็นความรักที่มีต่อสังคมอันรื่นรมย์ในอดีตที่ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีกต่อไปแล้ว
Great Mass of Color เป็นเพลงที่ชูซาวนด์ดนตรีแบบชูเกซและดรีมป๊อปอย่างสูง ส่วนเนื้อหาเพลงที่ถึงแม้ว่าจะมีความหม่นเศร้า แต่ก็ยังแฝงเอาไว้ด้วยความหวัง โดย Infinite Granite เป็นอัลบั้มที่สลัดซาวนด์แบบแบล็กเมทัลออกไปจนหมด โดยเหลือไว้แต่ดนตรีชูเกซ, โพสต์พังก์ และโพสต์ร็อกเท่านั้น เพลงนี้ถ่ายทอดความรู้สึกของ จอร์จ คลาร์ก ที่เคยโศกเศร้าแต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป เขาก็มองเห็นความจริงที่ว่าการไม่ยึดติดและปล่อยมันไปตามความเปลี่ยนแปลงเท่านั้นที่จะนำชีวิตไปสู่แสงสว่างได้
วิธีการเขียนเพลงของจอร์จน่าสนใจตรงที่เขาใช้มุมมองส่วนตัวเป็นตัวกำหนดการเล่าเรื่องราวและเขียนออกมาในลักษณะกวีนิพนธ์ มีการเปรียบเปรยอย่างแยบยลและมีชั้นเชิง ผ่านความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ความมืดมิด แสงสว่าง บ้านเรือน ขอบเขตอาณาบริเวณ สีสัน น้ำหนักของมวล ความฝัน ความจริง ไปจนถึงความไม่แน่นอนของสรรพสิ่ง ทั้งหมดบอกเล่าโดยบรรยายความรู้สึกที่ล้นทะลักอยู่ภายใน
เห็นได้ชัดว่าบทเพลงของวง Deafheaven ไม่ได้จมดิ่งไปสู่ความทุกข์โศกที่ไม่มีทางออกแต่เพียงอย่างเดียว แต่มันพูดถึงการปลดเปลื้องอารมณ์ความรู้สึกที่จะนำเราไปสู่ความสุขที่รายล้อมอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยาก ซึ่งจอร์จมองว่ามนุษย์อาจจะต้องใช้เวลาในการตกผลึกทางสติปัญญานานหน่อยเท่านั้น กว่าจะเข้าถึงความจริงของธรรมชาติได้
ก้าวแรกสู่สุดยอดวง ‘แบล็กเกซ’ ระดับแถวหน้าของโลก
ก่อนที่จะมาเล่นดนตรีในแนวแบล็กเมทัล โพสต์ร็อก และชูเกซ ในนามวง Deafheaven จอร์จ คลาร์ก และ เคอร์รี แม็คคอย ฟอร์มวงดนตรีในแนวไกรด์คอร์ (อีกแขนงของดนตรี Extreme Metal เล่นด้วยสัดส่วนของจังหวะที่มีความเร็วสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เบส และกลอง) ที่มีชื่อว่า Rise of Caligula กันขึ้นมาก่อน โดยทางวงตระเวนเล่นโชว์เล็กๆ ในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย
ในส่วนของชื่อวง แม้กระทั่งจอร์จซึ่งเป็นคนตั้งเองก็ยังไม่แน่ใจว่าได้มาจากไหน เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าบางทีอาจจะมาจากคำกลอนในกวีนิพนธ์ Sonnet บทที่ 49 ของ วิลเลียม เชคสเปียร์ แต่ที่เป็นไปได้มากกว่านั้นก็คือคำว่า deaf และ heaven มาจากการผสมคำเพื่อเป็นการแสดงความคารวะแด่วงชูเกซระดับตำนานอย่าง Slowdive
เป็นการยากที่จะสรุปอย่างรวบรัดว่า Deafheven เป็นวงดนตรีแนวใด แต่หากฟังโดยเน้นสัดส่วนโดยรวมแล้ว ทางวงนำดนตรีแนวโพสต์เมทัล, โพสต์ร็อก, ชูเกซ, โพสต์แบล็กเมทัล, แทรชเมทัล ยุคแรกๆ, อัลเทอร์เนทีฟร็อก ไปจนถึงแบล็กเกซ มาเล่นแร่แปรธาตุเข้าไว้ด้วยกัน ส่วนวงดนตรีที่มีอิทธิพลต่อ Deafheaven ก็เรียกได้ว่าหลากหลาย เพราะมีทั้ง Burzum, Leviathan, Iron Maiden, Metallica, Slayer, Morbid Angel, Pantera, Nine Inch Nails, Slowdive, Mogwai, Primal Scream, Soundgarden ไปจนถึงดนตรีคลาสสิก แต่หลักๆ แล้ว แบล็กเกซ คือแนวดนตรีที่ถือเป็นรากฐานของวงมากที่สุด
แบล็กเกซ จุดกึ่งกลางระหว่างนรกและสรวงสวรรค์
เคอร์รี แม็คคอย เคยให้สัมภาษณ์ว่า “ดนตรีชูเกซ, แบล็กเมทัล, โพสต์แบล็กเมทัล เกิดก่อนที่เราจะตั้งวงนานนับสิบปีแล้ว” แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Deafheaven ถือเป็นหนึ่งในวงดนตรีที่เป็นหัวหอกของดนตรีแบล็กเกซ แล้วจริงๆ นิยามของคำว่าดนตรีแบล็กเกซล่ะ? มันคืออะไรแน่ และมันมีขอบเขตกว้างขวางแค่ไหน?
ถ้าจะให้ตรงประเด็นที่สุด แบล็กเกซคือการรวมกันของดนตรี 2 แนว นั่นก็คือแบล็กเมทัล และชูเกซ ซึ่งก็อย่างที่ได้เกริ่นเอาไว้ว่า ดนตรียุคใหม่ที่มีการเล่นแร่แปรธาตุอยู่ตลอดเวลา ทำให้ฟอร์มของตระกูลดนตรีเปลี่ยนรูปร่างของมันไปด้วย อย่างเช่นแบล็กเมทัล ซึ่งเป็นดนตรีที่ทั้งรุกเร้ารุนแรงด้วยซาวนด์กีตาร์ที่ดิบสากอันเป็นมวลอันแสนหนักอึ้ง ไม่ต่างไปจากดาวเคราะห์ดวงใหญ่ แต่โดยรอบมวลของดาวเคราะห์เหล่านั้นก็ได้สร้างแรงดึงดูดขึ้นมาด้วยตามหลักวิทยาศาสตร์ ซึ่งศิลปะแห่งการสร้างสรรค์ทำให้ศิลปินรุ่นใหม่ๆ มองเห็นว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะนำดนตรีที่มีความไพเราะเข้าไปอยู่ในแรงโน้มถ่วงกาลอวกาศของดนตรีแบล็กเมทัลได้
ซาวนด์ดนตรีในแบบแบล็กเมทัล เกิดจากการใช้เอฟเฟกต์ Distortion เพื่อสร้างเสียงแตก แต่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เอฟเฟกต์ชนิดนี้อีกหลายประเภท อย่างเช่น Overdrive หรือว่า Fulltone OCD เพื่อให้เสียงที่แตกพร่าที่มีย่านความถี่ที่แตกต่างกันออกไป และเพื่อสร้างมิติของซาวนด์ให้ล่องลอย เมื่อมีการใช้เอฟเฟกต์เหล่านี้ร่วมกับเอฟเฟกต์ที่ให้เสียงที่นุ่มนวลชวนฝันอย่าง Reverb และ Delay ซึ่งให้ทั้งเสียงก้องกังวานและมีมิติ เอฟเฟกต์เหล่านี้จะก่อให้เกิดกำแพงเสียงในหลายระดับที่ทั้งหยาบกร้านและสวยงามในเวลาเดียวกัน
เอฟเฟกต์ที่ถือว่าเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างสรรค์ดนตรีโพสต์ร็อก, โพสต์แบล็กเมทัล และแบล็กเกซ ก็คือ Fuzz การใช้ Overdrive, Distortion และ Fuzz ในเวลาเดียวกันก่อให้เกิดเสียงที่แตกพร่าจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์ การจัดการซาวนด์ให้มันออกมามีมิติด้วยการใช้ Fuzz เป็นเรื่องยาก แต่ Deafheaven มีความสามารถในระดับหาตัวจับยากในการใช้ Reverb และ Delay เพื่อผสมคลื่นความถี่เสียงสูงเข้าไปในคลื่นความถี่เสียงต่ำอย่างเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งก็ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของดนตรีชูเกซที่ใช้ Reverb ก่อน Distortion ซึ่งจะสร้างเสียงสะท้อนให้กลืนไปกับซาวนด์ที่แตกพร่า ส่วนการใช้เอฟเฟกต์ Echo ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความซับซ้อนและทิศทางของซาวนด์ให้กว้างมากขึ้นไปอีก
Sunbather อัลบั้มชุดที่ 2 ของวง นับว่าเป็นงานเพลงในแนวแบล็กเกซที่ยอดเยี่ยมชุดหนึ่งเท่าที่เคยมีมา งานเพลงชุดนี้มีเพลงเด่นอย่าง Dream House ที่หวดกันยับ ไล่ตั้งแต่เสียงร้อง กลอง และกีตาร์ที่เป็นแบล็กเกซขนานแท้ Please Remember ที่เป็นเพลงอาร์ตเมทัลที่สาดกีตาร์ที่แหลกสลายจนแทบจะพังทลายลงต่อหน้าต่อตาด้วยดนตรีแนว Drone, Industrial และ Noise Rock ก่อนที่จะลูบหลังด้วยดนตรีอะคูสติกร็อกที่เพราะมากๆ
เติบโตและเปลี่ยนแปลง
งานเพลงของ Deafheaven เป็นไปในลักษณะดังกล่าวคือหนักแน่น หนักหน่วง อึกทึกครึกโครม สับสนอลหม่าน ซับซ้อน ล่องลอย หลับฝัน กึ่งหลับกึ่งตื่น มันคือดนตรีที่เป็นเหมือนการปะทะกันของวงอย่าง Burzum และ My Bloody Valentine, Mogwai และ Slowdive, Darkthrone และ Ministry, TOOL และ Cocteau Twins, Testament และ The Ocean Collective, Sonic Youth และ Explosions in the Sky
นี่คือวงที่เยี่ยมยุทธ์และแน่วแน่ในเส้นทางที่ทางวงเลือกเดินจริงๆ
ส่วนอัลบั้มอื่นๆ อย่าง Ordinary Corrupt Human Love ก็มีเพลงที่โคตรดีอย่าง Honeycomb, You Without End, Glint และ Worthless Animal ก่อนที่ทางวงจะตัดสินใจเปลี่ยนแปลงทิศทางการทำเพลงในแบบที่ค่อนข้างหักดิบ โดยตัดความเป็นแบล็กเกซออกไปเลยในอัลบั้มชุดล่าสุดอย่าง Infinite Granite (2021) ซึ่งต้องยอมรับว่ามันเป็นงานเพลงที่ใช้ประโยชน์ในเรื่องของตระกูลเพลง (Genre) อย่างชูเกซ, อัลเทอร์เนทีฟร็อก, แอมเบียนต์, อิเล็กทรอนิกส์ และโพสต์ร็อกอย่างเต็มที่ในแบบที่เรียกได้ว่าแทบไม่ได้ยินเสียงแตกของ Distortion หรือ Fuzz เลย เพราะเอฟเฟกต์ที่เป็นพระเอกจริงๆ คือ Reverb ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญตัวจริงของดนตรีชูเกซ
โชว์ของ Deafheaven ขั้นสุดแห่งพลังปะทะในทุกตารางนิ้วบนเวทีคอนเสิร์ต
Deafheaven ขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องการแสดงคอนเสิร์ตที่ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกของทั้งตัวนักร้องนำอย่าง จอร์จ คลาร์ก และสมาชิกร่วมวงคนอื่นๆ ในวงอย่าง เคอร์รี แม็คคอย (กีตาร์), แดเนียล เทรซี (กลอง), ชีพ เมห์รา (กีตาร์, คีย์บอร์ด) และ คริส จอห์นสัน (เบส) ก็สร้างมวลของดนตรีทุกรูปแบบที่ได้กล่าวมาทั้งหมด แล้วปลดปล่อยเป็นคลื่นพลังงานจำนวนมหาศาลที่ส่งไดนามิกโดยตรงมาสู่ผู้ชมทุกคน
การเล่นสดของพวกเขาทำให้แฟนเพลงบ้าคลั่งได้มากพอๆ กับการสะกดให้ตกอยู่ในภวังค์ เหมือนบทเพลงของพวกเขาสร้างสมาธิชั้นสูงให้ผู้ฟังเข้าสู่ฌานสมาธิได้อย่างล้ำลึกท่ามกลางการสั่นสะเทือนของพลังงานที่ทะลุทะลวงเข้าสู่จิตวิญญาณ ใครก็ตามที่เคยดู Deafheaven เล่นสดบนเวทีทั้งในงาน Maho Rasop ปี 2019 และเมื่อปี 2022 ที่ทางโปรโมเตอร์ Loudly Prefer นำวงกลับมาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตอีกเป็นครั้งที่ 2 คงจะสัมผัสได้และรู้ดีว่าสิ่งที่ว่ามาทั้งหมดนั้นไม่เกินจริงแต่อย่างใด
Deafheaven กำลังจะกลับมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทยอีกเป็นครั้งที่ 3 กับงาน “บางกอก Post THE NEW ERA OF POST-ROCK FESTIVAL” เทศกาลดนตรีโพสต์ร็อกที่ทางผู้จัดงานบอกว่าจะทำให้ผู้ชมได้เดินทางเข้าสู่ความลึกและความล่องลอยอย่างไร้ขีดจำกัดไปด้วยกัน ซึ่งนอกจาก Deafheaven ที่มาเล่นเป็นวงเฮดไลน์แล้ว ก็ยังมี Chinese Football วงดนตรีแนว Math Rock จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มาร่วมโชว์ด้วย ส่วนวงไทยที่จะมาร่วมโชว์ด้วยก็ล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดฝีมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น Desktop Error, Inspirative, Torrayot. Shadow Colonies, Ziriphon Fireking และ The Biirthday Party โดยงานจะจัดขึ้นที่ Center Point ซอยลาซาล ในวันที่ 13 กรกฎาคมนี้ บัตร Early bird ราคา 1,800 บาท (จำนวนจำกัด) บัตร Pre-sale ราคา 2,400 บาท
สามารถกดซื้อบัตรได้ทาง Ticket Melon ส่วนบัตรที่ขายหน้างานจะขายในราคา 3,000 บาท
ไม่บ่อยครั้งนักที่เมืองไทยจะมีเทศกาลดนตรีโพสต์ร็อกกึ่งนานาชาติแบบนี้ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับซีนดนตรีแนวนี้ – ส่วน Deafheaven บอกได้คำเดียวว่านี่คือวงที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างที่สุด ไม่ว่าคุณจะเคยหรือไม่เคยดูวงนี้เล่นสดมาก่อนก็ตาม
ที่มา ไทยรัฐ